วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555


คนไทย ป่วยเป็นโรค เพราะ?? 

             ในสภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีบทบาทต่อการดำรงชีพของคนปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ผู้คนส่วนใหญ่ จะชอบนำเอาธรรมชาติมาแปรรูปเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ เริ่มขึ้นอย่างฟุ่มเฟือย และกลายเป็นความเคยชิน และในที่สุดเราก็คิดว่าเป็นปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน  ความไม่รู้หรือการหลงผิดในความคิดนี้ ทำให้เรากลับไปพึ่งพาสารเคมีมากจนเกินไป เพื่อที่ดลบันดาลให้ในทุกรูปแบบ ถ้าหากมาทำความเข้าใจในหลักใหญ่ของธรรมชาติและเรียนรู้ว่า "มนุษย์เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ" เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มนุษย์ปฏิบัติตนผิดหลักของ ธรรมชาติแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเราเอง ดังนั้นถ้าเราเข้าใจพื้นฐานของร่างกายเรา เราก็จะทราบว่าสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดโรคภัยไข้เจ็บ และอาการเกิดขึ้นต่าง ๆ เช่น อาหาร เนื่องจากพบว่าคนไทยในสังคมปัจจุบันมีความเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคทางเดินอาหารกันเป็นส่วนมาก เชื่อมโยงไปสู่อวัยวะต่างๆอย่างมากมายอันมีสาเหตุมาจากการ บริโภคอาหาร ที่ไม่ถูกต้อง จากค่านิยมที่ผิด ๆ และสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย   อารมณ์ คนที่มีอารมณ์ตึงเครียดจะส่งผลทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลีน ฮอร์โมนแห่งความทุกข์ ส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ถ้าขบวนการเผาพลาญอาหารมาเป็นพลังงานในการสร้างเซลใหม่และกำจัดของเสียเกิดไม่ทัน จะเกิดการสะสมเซลล์ตายซึ่งเป็นสาเหตุของอาการและโรคจำนวนมาก ดังต่อไปนี้ เช่น อาการสารพัดปวด, เนื้องอก, มะเร็ง, ภูมิแพ้, ท้องอืด, ท้องเฟ้อ, ท้องผูก, โรคกระเพาะ,โรคลำไส้, โรคไต, ผมหงอกก่อนวัย, กระดูกผุ, ปวดประจำเดือน, ความดันโลหิตสูง, อัมพฤกษ์, อัมพาต, ต้อเนื้อ, ต้อกระจก, ต้อลม,  อากาศ เราจะพบว่าคนไทยส่วนมากโดยเฉพาะในสังคมเมืองหลวงหายใจสั้นและเร็ว ทำให้การหายใจแต่ละครั้งได้ปริมาณ O2 น้อย และเอา CO2 ออกได้น้อยเช่นกัน ปอดทั้งสองข้างจะทำงานไม่ได้เต็มที่ เมื่อปล่อยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้เกิดความเสื่อม ไปถึงความผิดปกติยังระบบอื่น ๆ การขับถ่ายของคนเราโดยเฉพาะอุจจาระนั้น ควรทำให้เป็นปกติทุกวันก่อน 7 โมงเช้า ควรขับของเสียออกให้หมด และเตรียมรับอาหารมื้อเช้า คนที่ไม่พยายามขับถ่ายให้เป็นปกติ ปล่อยให้ท้องผูกเป็นประจำจะเป็นการปล่อยให้ร่างกายดูดซึมของเสียไปเลี้ยงร่างกายเนื่องจากปกติอาหารที่เรากินกันอยู่ส่วนมาก ภายใน 12 ชั่วโมง ก็เริ่มบูดเน่า คนที่ท้องผูกเป็นระยะเวลานาน ๆ จะเป็นสาเหตุอันนำไปสู่อาการและโรคจำนวนมากมายหลายโรคเช่น สมองเสื่อม หลงลืม ปวดทั้งหลาย ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เนื้องอก มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต หอบหืด นอนไม่หลับ  การออกกำลังกาย ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตนเอง เวลาที่เหมาะสมกับการออกกำลังกายควรเป็นช่วง 05.00-07.00 น. ในตอนเช้า เพราะจะเป็นการช่วยให้ลำไส้ใหญ่ และไตขับของเสียออกให้หมด และพร้อมที่จะขับถ่าย และรับอาหารใหม่ในตอนเช้า การนอน เวลาที่ควรให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนก็คือ ช่วงเวลา 3 ทุ่มถึงตี 3 (จะตื่นหลังตี 3 ก็ได้) แต่ไม่ควรเข้านอนเกิน 3 ทุ่ม การนอนดึกหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานหนักและทำให้เสื่อมเร็ว การนอนดึกจะส่งผลไปยังความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในทุกระบบ เนื่องจากทุกอวัยวะต้องได้รับสารอาหารจากการไหลเวียนตลอดเวลา มีของเสียตกค้างระดับเซล ทำให้มีอาการทางผิวหนังแพ้ง่าย เป็นฝ้า กระ แผลพุพองจากการติดเชื้อ โรคผิวหนังต่าง ๆ และเกิดอาการปวดบริเวณหลังส่วนบนของร่ายกาย ได้แก่ ไหล่ ศีรษะ ไมแกรน ความจำเสื่อม สมองฝ่อ ขี้ลืม ฯลฯ
โรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่หลายคนไม่พึงประสงค์ที่จะให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง คนรอบข้างหรือคนที่เป็นที่รักอย่างแน่นอน จากผลการสำรวจ   อันดับที่สำคัญของสาเหตุการตายทำให้ชีวิตคนไทยตายสูงสุดสุด มีดังนี้
โรคมะเร็ง อันดับหนึ่งครองแชมป์ ผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 50,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน โดยจำนวนอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ โรคมะเร็งหากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะรายที่พบในระยะลุกลาม โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 6 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก โดยมะเร็งที่ผู้ชายเป็นกันมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งตับ รองลงมาคือ มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบในผู้หญิงตามลำดับคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ แต่หากตรวจพบในระยะแรกอาจมีทางจะรักษาได้ จึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง วิธีการป้องกัน
  

                                            การแสดงการตายที่สำคัญ  ปี พ.ศ. 2550   
   

ในปี พ.ศ. 2550 มีการตายของโรคมะเร็งมากที่สุดของรอบ ปี 2550  เพราะมีสาเหตุมาจากปัจจัยใหญ่ๆ ที่สำคัญ คือเกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกายซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าโรคมะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษที่เกิดจากเชื้อรา สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ่ย่าง และสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร และสารเคมีจากการทำเกษตรอัตราการตายด้วยโรคมะเร็ง ปี พ.ศ. 2550 ประมาณ 53,434 คน ซึ่งถือได้ว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชิวิตของคนไทยมากที่สุด
อุบัติเหตุ คือ เหตุการณ์ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหวังมาก่อน เป็นเรื่องสุดวิสัยและเกิดขึ้นได้เสมอ แต่อุบัติเหตุส่วนใหญ่ก็มักมีสาเหตุจากความประมาท ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้เมื่อปี พ.ศ. 2550และ พ.ศ. 2551 ผู้เสียชิวิตประมาณ70,512 คนเพราะฉะนั้นการป้องกันอุบัติเหตุที่ดีที่สุดคือไม่ประมาท ขับขี่อย่างปลอดภัย ซึ่งในปัจจุบันนี้อัตราการตายจากอุบัติเหตุได้เพิ่มสูงมากเป็นอันดับสองรองจากโรคหัวใจและมีแนวโน้มที่จะมากเป็นอันดับหนึ่งในอนาคตถ้าเรายังไม่รณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยกันอย่างจริงจังโดยเฉพาะอุบัติเหตุจากการจราจรทางบกซึ่งพบมากเป็นอันดับหนึ่ง และยังทำให้ขณะนี้พบคนไทยพิการ จากอุบัติเหตุจราจรสูงเป็นอันดับ 1 คาดทั่วประเทศมีไม่ต่ำกว่า 50,000 คน
โรคหัวใจ การเกิดโรคหัวใจมีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 20, 000 คน อาการเตือนของโรคหัวใจประกอบไปด้วยอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หรือมีอาการอึดอัดหายใจไม่สะดวก อาการหายใจลำบาก อาการนอนราบแล้วอึดอัด ถ้านั่งแล้วจะสบายขึ้น อาการลุกขึ้นมากลางดึกหายใจแรงๆ แล้วจึงนอนต่อไปได้ อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ อาการเป็นลมหมดสติ เป็นคำเตือนที่ควรระวัง หรือเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ การรักษา 1.เลิกบุหรี่เลี่ยงต่อการเกิดหัวใจขาดเลือดมากการสูบบุหรี่ยังเลี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆอีกมากมาย 2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ไขมันชนิดดี คือ เอช-ดี –แอล สูงขึ้น ไขมันชนิดนี้ช่วยลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดได้ผลดีอย่างมากของการออกกำลังกาย 3.ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง เบาหวานและความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้นทำให้มีปัญหามาก เช่นหลอดเลือดที่ตา ไต สมอง และหัวใจเป็นต้นเหตุของการเกิดเป็นอัมพาต 4. ทำจิตให้ผ่องใส่

  
กราฟแสดง: การตายที่สำคัญของปี พ.ศ . 2550 และพ.ศ .2551

                         หน่วย: คน
โรคมะเร็งถือว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดเพราะเป็นโรคที่รักษาได้เพียงขั้นต้นแต่เมื่อถึงระยะสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้โรคอื่นๆก็ยังถือว่ามีอัตราเท่าเดิมซึ่งปัจจุบันมียารักษาที่ทันสมัยทำให้โรคหายได้แต่ปัญหาส่วนใหญ่คนไม่ค่อยสนใจกับเรื่องพวกนี้นักเพราะส่วนใหญ่จะมุ่งทำแต่งานเมื่อรู้ว่าเป็นโรคส่วนใหญ่ก็ถึงขั้นเรื้อรังแล้วและในอาอนาคตคาดการณ์ว่าโรคมะเร็งจะมีอัตราเพิ่มมากขึ้น


                  ความดันโลหิตสูง ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิตเพราะความดันโลหิตจะเป็นแรงผลักดันให้เลือดเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัมพาต โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอัตราตายสูง ดังนั้นการป้องกันความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจ และโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่านเนื่องจากไม่มีอาการเตือนดังนั้น การจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องวัความดันโลหิตเท่านั้น การที่เราจะป้องกันความดันโลหิตสูง 1. ควบคุมน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ 2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3.ลดปริมาณแอลกฮอล์ 4.งดบุหรี่เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการเป็นโรคหัวใจ 5.รับประทานอาหารที่มีคุณภาพโดยการลดอาหารเค็ม

               โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นการหยุดการทำงานของสมองอย่างฉับพลัน โดยมี สาเหตุจากการรบกวนหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองโรคนี้อาจเกิดจากการขาดเลือดเฉพาะที่ของสมอง ซึ่งมีสาเหตุจากภาวะหลอดเลือดมีลิ่มเลือด หรือภาวะมีสิ่งหลุดอุดหลอดเลือด หรืออาจเกิดจากการตกเลือดในสมอง ผลจากภาวะดังกล่าวทำให้สมองส่วนที่ขาดเลือดหรือตกเลือดทำงานไม่ได้ และอาจส่งผลทำให้อัมพาตครึ่งซีก ไม่สามารถขยับแขนขาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือซีกใดซีกหนึ่งไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจหรือพูดได้ หรือตาบอดครึ่งซีก ทั้งนี้ถ้ามีความรุนแรงมาก อาจทำให้ถึงตายได้ การป้องกัน 1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2. ควบคุมน้ำหนัก 3. งดบุหรี่และดื่มสุรา 4.ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อค้นหาปัจจัยเลี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะไขมันในหลอดเลือดสูงและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ


โรคปอดอักเสบ ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า ปอดบวม  ลักษณะการอักเสบของเนื้อปอดจะมีหนองขัง บวม จึงทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่ ทำให้การหายใจสะดุดเกิดอาการหายใจหอบเหนื่อยอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ จึงนับว่าเป็นโรคร้ายเฉียบพลันชนิดหนึ่งของโรคร้ายต่างๆ อัตราการตาย เมื่อปี พ.ศ.2550และ พ.ศ. 2551 ประมาณ 28721 คน อัตตาการตายของโรคนี้ก็มากพอสมควร      การป้องเองกันรักษา 1.พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ  2.รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการและอาหารเสริมสุขภาพในปริมาณที่พอเหมาะ  3.ไม่ควรสูบุหรี่และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดเพราะจะส่งผลให้เป็นโรคเหล่านี้ได้

การบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย  สาเหตุเกิดจากของการฆ่าตัวตาย ถ้ามองกันลึก ๆ แล้วคงเป็นผลพวงมาจากความทุกข์ในจิตใจอัน เกิดจากปัญหา หรือปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งหากเราเข้าใจถึงสาเหตุที่พอจะเป็นไปได้ จะทำให้เราเข้าใจ และดูแลคนที่เราห่วงใยอย่างใกล้ชิดได้ เพื่อป้องกันการเกิดความคิดฆ่าตัวตายทำร้ายตัวเองกับคน ที่เรารัก  จิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่อความคิด การตัดสินใจของคนเรา .. คนที่คิดฆ่าตัวตาย มักมอง ตนเองในแง่ลบ เช่น มองตนเองไม่มีค่า, มองเห็นแต่ความผิดพลาดในสิ่งที่ตนเองทำ, มองเห็นความ ท้อแท้ การไร้ซึ่งทางออกของปัญหา ในที่สุดก็ก่อให้เกิดการสิ้นหวัง นำสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุด จะ เห็นได้ว่าการฆ่าตัวตายมักเกิดจากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัยประกอบกัน การให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนการป้องกันการฆ่าตัวตายจึงต้องเข้าใจความสัมพันธ์กันของปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในแง่ของสังคม รอบด้าน รวมทั้งสภาวะจิตใจของผู้ป่วยเองด้วย อัตราการฆ่าตัวตายของ ปี พ.ศ. 2550และ  พ.ศ. 2551ประมาณ 14,158 คน
ไตอักเสบ หน่วยไต (glomerulus) เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ในเนื้อไตทำหน้าที่กรองของเสียและน้ำออกมาเป็นปัสสาวะ เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นที่หน่วยไต ทำให้ร่างกายขับปัสสาวะออกได้น้อย มีของเสียคั่งอยู่ในเลือดมากกว่าปกติ รวมทั้งมีเม็ดเลือดแดง และสารไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการบวม และปัสสาวะออกมาเป็นสีแดง อาการผู้ป่วยจะสังเกตเห็นปัสสาวะออกมาเป็นสีแดง และจำนวนปัสสาวะมักออกน้อยกว่าปกติ อาจพบอาการบวมที่หน้า หนังตา เท้า และท้อง มักมีอาการปวดศีรษะ มีไข้อ่อนเพลีย เบื่ออาหารคลื่นไส้ อาเจียน ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการหอบเหนื่อย หรือชักอัตราการตายของเกี่ยวกับโรคไตต่างๆ เมื่อ ปี พ..2550 และ พ..2551 ประมาณ 27773 คน การป้องกันเมื่อเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ หรือแผลพุพอง ควรกินยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 10 วัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน

โรคตับ ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากมีหน้าที่หลายอย่าง เช่น การสร้างน้ำดี ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมันเก็บสำรองอาหาร โรคนี้จะพบได้ทั่วโลกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุของการเกิดโรคตับอ่อนเกิดจากถูกทำลายด้วยน้ำย่อยของตับอ่อนเอง โดยที่ยังไม่ทราบกลไกลการเกิดที่แน่ชัด ซึ่งความรุนแรงของโรคอาจแตกต่างกันไป ตั้งแต่ไม่มีความรุนแรงเท่าใดจนถึงขั้นรุนแรงมาก ช็อกและอาจเสียชีวิตได้ เมื่อปี .. 2550และ พ..2551 มีอัตราการตาย ประมาณ 17499 คน การป้องกันการพักผ่อนเต็มที่ งดการออกแรงออกกำลังกาย การทำงาน งดการดื่มสุรา รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นการป้องการขั้นแรกของการเกิดโรค

วัณโรค   เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรีย ทูเบอร์คูโลสิส  มีสถิติจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าพบประชากรโลก 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค และมีผู้ป่วย 15 ล้านคน สำหรับคนไทยคาดว่าราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคในตัว พร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือติดเชื้อเอดส์ ผู้ติดเชื้อวัณโรคเหล่านี้อาจป่วยได้ถึงปีละ 1 แสนคน และจำนวนอาจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางคนที่ไม่ใส่ใจในสุขภาพตัวเอง ไม่ตรวจสุขภาพประจำปี อาจจะเกิดอาการรุนแรง หรือรักษาได้หายยากกว่าเนื่องจาตรวจพบช้าเกินไป   การป้องการจากโรควัณโรค   1.กินยาตามชนิดและขนาดที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอจนครบกำหนด 2. มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง 3.อย่าหยุดกินยาเองเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยาได้   4. ควรงดเหล้า บุหรี่ และยาเสพติด

ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นภาวะที่ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อลดลงหรือขาดไป ซึ่งส่วนมากพบเป็นแบบทุติยภูมิ หรือเกิดขึ้นภายหลัง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะนี้มาตั้งแต่กำเนิด หรือเรียกว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องแบบปฐมภูมิ  ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อลดการต่อต้านอวัยวะปลูกถ่ายเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันมากเกินจนต่อต้านร่างกายตนเอง สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีโอกาสติดเชื้อจากการติดเชื้อฉวยโอกาส การป้องกัน ร่างกายจากเชื้อโรคเหล่านี้ มนุษย์เรามีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคออกไป หากภูมิคุ้มกันบกพร่อง แม้จะพัฒนายาต้านจุลชีพที่ดีเลิศเพียงใด ก็อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตคนเราจากโรคติดเชื้อไว้ได้ เพราะการที่จะหายจากโรคติดเชื้อได้นั้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นผู้ช่วยตัวสำคัญที่สุดระบบภูมิคุ้มกัน คือระบบที่คอยปกป้องร่างกายของเราจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจเข้ามาทำอันตรายร่างกายเราได้ เช่น เชื้อโรคชนิดต่างๆ

กราฟแสดง: สาเหตุการตายที่สำคัญ ปี พ.ศ. 2550-2551
                                      หน่วย: คน
จะเห็นได้ว่าสาเหตุการตายที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างปี พ.ศ. 2550และ พ.ศ. 2551โรคมะเร็งมีอัตราการตายเพิ่มมากขึ้น และเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดของโลก และ อุบัติเหตุก็ครองอันดับสองเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตซึ่งเกิดจากความประมาท และ เมาสุรา และยังครองอันดับสองของโลกซึ่งถือได้ว่าประเทศไทยยังมีมาตรการณ์การป้องกันที่ยังไม่เด็ดขาดพอที่จะควบคุมการกระทำต่างๆได้

สรุป
                สาเหตุของโรคหรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทั้งนั้นทั้งทางด้านการรับประทานอาหาร มลพิษต่างๆ รวมทั้งความประมาทก็อาจทำทำให้สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คนก็ขี้เกียจกันมากขึ้น เพราะพึ่งหวังกับเทคโนโลยีมากเกินไป ถ้าเราใส่ใจกับการดำเนินชีวิตสิ่งต่างๆก็ไม่สามารถที่จะแทรกแซงตัวเราได้เพราะฉะนั้นควรเอาใจใส่กับตัวเองและไม่ประมาทชีวิตก็ดำเนินไปอย่างมีความสุข 





อ้างอิง

1 ความคิดเห็น: